Last updated: 12 ธ.ค. 2560 | 3376 จำนวนผู้เข้าชม |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 20.15 น.
-------------------------
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน หากจะถามว่ามีหรือไม่ ใครสักคนหนึ่งใครที่ยอมลำบากเพื่อคนอื่น โดยยอมทำงานหนัก โดยไม่มีข้อแม้ และไม่มีวันหยุด ใครที่มีการศึกษาดีมีสถานะสูง แต่ยอมตากแดด อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำงานบนพื้นดิน ในป่าเขา และพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ผมก็เชื่อว่าในหัวใจชาวไทยทุกคน ย่อมประจักษ์ดีว่ามีและใครคนนั้นคือ ในหลวงของเรา ซึ่งเป็นคำเรียกพระมหากษัตริย์ที่พวกเราทุกคนรักและเทิดทูน และเราเรียกพระราชาของเราว่า ในหลวงด้วยความภาคภูมิใจทุกครั้ง การทรงงาน 70 ปี เพื่อพวกเรากว่า 70 ล้านคนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรม และทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่าเราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม โดยที่พระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งให้ประชาชนคนไทยต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโดยลำพัง
แต่นับจากนี้ไป ความสุขเหล่านั้นจะไม่มีอีกแล้ว แต่โชคดีที่คนไทยยังมีรัชกาลที่ 10 ที่ทรงรักษาสืบสานต่อยอดสิ่งเหล่านี้ต่อไป วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความวิปโยคโศกศัลย์ เป็นวันที่ความเศร้าสลดสูญเสีย ท่วมท้นจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เมื่อสำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว สุดที่คนไทยจะหักห้ามความอาลัยรัก และความระลึกถึงที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบดั่งพ่อของแผ่นดินได้ โดยความกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดี ก็จะยังอยู่ในจิตใจของพวกเรา พสกนิกรของพระองค์ตลอดไป ตลอดรัชสมัยของพระองค์
พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่พ่อของแผ่นดินได้อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมีมากมาย เกินกว่าจะเอ่ยได้ครบถ้วน ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พ่อคนหนึ่งพึงจะทำให้กับลูกอย่างดีที่สุด ด้วยต้องการให้ลูกมีรากฐานที่ดีในการดำรงชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดีทัดเทียมผู้อื่น และที่สำคัญคือมีความสงบสุขร่มเย็น แต่งานของพระองค์ ยากกว่าภารกิจของพ่อโดยทั่วไปมากนัก เพราะทรงมีลูกหลายสิบล้านคน ทำให้พระองค์ต้องทรงงานหนัก ประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ด้วยความรักและความห่วงใย ซึ่งผมขอกล่าวโดยสรุป เป็น 3 ประการ คือ ประการแรก ทรงดูแลพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา บนผืนแผ่นดินไทย ด้วยความเสมอภาค ให้ลูกหลานไทยทุกคนอยู่ดีกินดี โดยทรงสอนให้เรียนรู้และอยู่กับธรรมชาติ อย่างสมดุล ทั้งดิน น้ำ ป่า ด้วยการทำนุบำรุง ฟื้นฟู และใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างฝายชะลอน้ำ แก้มลิง และฝนเทียม เป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้และโครงการพระราชาดำริ กว่า 4,500 แห่ง ทั่วประเทศ
ทรงสอนข้าราชการให้ทำงานกับประชาชน โดยเริ่มที่การปลูกป่าในใจคน หมายถึงการปลูกจิตสำนึกของคน ให้เห็นคุณค่าและเห็นประโยชน์ร่วมกันเสียก่อน แล้วทุกคนก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง โดยไม่เป็นการยัดเยียด แต่ต้องให้ระเบิดจากข้างในจึงจะเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานความสมัครใจ ที่มีความยั่งยืน ทรงให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาคน ทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยทรงเห็นว่า พลเมืองเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศชาติ ถ้าประชาชนไม่ได้รับการศึกษาจะไม่มีการพัฒนาตนเอง ถ้าประชาชนไม่มีสุขภาพกาย และใจที่เข้มแข็งก็ไม่มีเรี่ยวแรงสำหรับทำงาน เอาชนะอุปสรรค หรือพัฒนาบ้านเมือง โดยพระองค์ได้เสด็จในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อให้บัณฑิตใหม่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และช่วยกันพัฒนาส่วนรวม และประเทศชาติสืบต่อไป ทรงสอนหลักการใช้ชีวิต โดยทรงเป็นตัวอย่างด้วยพระองค์เอง เช่น การประหยัดใช้ดินสอจนหมดแท่ง ใช้ยาสีฟันจนหมดหลอด รวมไปถึงการออม การรู้จักพอเพียง การพึ่งพาตัวเอง และการทำงานอย่างมีความสุข เป็นต้น
ที่สำคัญยังทรงพระราชทานปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ภูมิคุ้มกัน และเงื่อนไขความรู้คู่คุณธรรม เพื่อเป็นแนวทางดำรงชีวิต และการปฏิบัติตนให้สมดุล พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอก และโลกาภิวัฒน์อย่างรู้เท่าทัน พระเกียรติคุณดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก โดยทรงได้รับการขนานนามว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา จากการทรงงานโดยมิรู้เหน็ดเหนื่อย ทรงงานด้านการพัฒนาชนบท ทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่ยากไร้ และด้อยโอกาสทุกหย่อมหญ้า ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทรงสดับตรับฟังปัญหาทุกข์ยากของราษฎร จนทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปแบบการพัฒนา ภายใต้แนวคิดใหม่นี้ โดยองค์การสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ เมื่อ 10 ปีที่แล้วรวมทั้งได้จัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติ 2 ครั้ง สำหรับการถวายราชสดุดี และถวายความอาลัย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ภายหลังการเสด็จสวรรคต และเมื่อครบรอบ 1 ปี การเสด็จสวรรคตของพระองค์อีกด้วย
นอกจากนั้น ยังได้อัญเชิญแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง ซึ่งหลายประเทศได้มีความสนใจศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อน้อมนำไปประยุกต์ใช้แล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ที่ทรงมีความรัก ความเคารพ และทรงยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นบุคคลสำคัญ และเป็นแบบอย่างที่ดีในการมุ่งมั่นทำเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ซึ่งพระองค์เองได้น้อมนำหลักการทรงงาน และศาสตร์พระราชาต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในฐานะพระประมุขของประเทศด้วยเช่นกัน
ประการที่ 2 ในบทบาทพ่อของแผ่นดิน พระองค์ทรงเตรียมความพร้อมให้คนไทยสามารถก้าวเดินเข้าสู่โลกกว้างได้อย่างสง่างาม โดยทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จัก ยอมรับ และได้รับการสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศ คือการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ และการให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ อีกทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยความจริงใจ และการทำหน้าที่การเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างอบอุ่น ด้วยทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ
ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลก เป็นรากฐานให้ลูกหลานไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในสังคมโลกด้วยทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และทรงตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมโลก ทั้งความสัมพันธ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่งคงระหว่างประเทศไทยกับนานาอารยประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับฐานะของประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพสกนิกร หรือลูกๆ ของพระองค์ให้ทัดเทียมสากล
ด้วยบทบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ดังกล่าว ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจำนวน 25 ประเทศ จากทั้งสิ้น 29 ประเทศทั่วโลก ตอบรับคำเชิญของรัฐบาลไทย โดยมีพระประมุข หรือผู้แทนพระองค์เคยเยือนประเทศไทย เพื่อทรงถวายพระพรในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา นับเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก และล่าสุดทางการสวีเดน จะจัดพิธีสำคัญ เนื่องจากการเสด็จสวรรคต เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ และตามธรรมเนียมปฏิบัติแก่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่เคยได้รับการทูลเกล้าถวายเครื่องราชอิศริยาภรณ์ Seraphim ซึ่งเป็นเครื่องราชอิศริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของสวีเดน
ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ วันเดียวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยกองทหารเกียรติยศสวีเดน และอัญเชิญตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จากพระราชวังสตอกโฮล์ม ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ฝังพระศพของราชวงศ์สวีเดน อันเป็นสัญลักษณ์ความใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ ประชาชน และประเทศทั้งสองด้วย
อนึ่งในการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนนี้ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยรับมอบสำเนาามติของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่าด้วยการเทิดพระเกียรติ และแสดงความรำลึกแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงงานอย่างหนัก เพื่อพสกนิกรของพระองค์ ตลอดรัชสมัย 70 ปี แห่งการครองราชย์ และในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ทรงปรีชาสามารถด้านการทูต เชื่อมโยงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
สำหรับประการสุดท้ายที่สำคัญยิ่งก็คือ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ ทรงพระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ พร้อมคำอวยพร เพื่อสร้างขวัญ และเพิ่มกำลังใจให้กับพวกเราเป็นประจำทุกปี ทรงให้ข้อคิดในการดำรงชีวิต เช่น ไม่ให้พวกเรายอมแพ้ต่ออุปสรรคโดยพึงมีความเพียรอันบริสุทธิ์ ดังเช่นพระมหาชนกตามบทพระราชนิพนธ์ในพระองค์ ทรงให้กำลังใจทุกครั้งในการที่ประเทศชาติ และประชาชนประสบความทุกข์ยาก หรือสาธารณภัย ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง พายุเกย์ ปี 2532 สึนามิ ปี 2547 ทรงสอนให้พวกเรารู้จักการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมโดยคำพ่อสอน ส่วนหนึ่งสามารถสรุปใจความได้ ว่าหากสังคมไม่มีความสุข คนในสังคมก็จะหาความสุขไม่ได้
นอกจากนี้ ทรงให้สติ และหาทางออกของทุกปัญหา รวมทั้งวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา จนทำให้พวกเราได้ตระหนักถึงความรักและความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการทำหน้าที่ของพ่อที่สมบูรณ์แบบ โดยทรงเป็นพ่อที่ทุ่มเททั้งกำลังกาย และกำลังใจ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทรงเป็นพ่อด้วยการกระทำ และจิตวิญญาณ จวบจนวาระสุดท้ายของพระองค์ และจะทรงเป็นพ่อที่จะไม่เพียงจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกๆ ชาวไทยทุกคน และจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกด้วยเช่นกัน
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ จากวันนั้นวันที่พวกเราลูกของพ่อจับมือกัน ร่วมฝ่าฟัน ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ความท้อแท้ ความสิ้นหวัง และหมดเรี่ยวแรงกำลังใจ ท่ามกลางความทุกข์โศกจนถึงวันนี้ เราต้องแสดงให้พ่อเห็น ว่า พ่อได้สร้างให้พวกเรามีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เพื่อให้พ่อหายเหนื่อย และยิ้มได้
ทั้งนี้ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เราทุกคนประจักษ์แก่ใจตนว่า พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ยังคงสถิตอยู่ในดวงใจของพวกเรามิรู้ลืม บัดนี้เราทุกคนได้สำนึกร่วมกันแล้ว ว่า ศาสตร์แห่งพระราชาที่พระราชทานไว้แก่ปวงชนชาวไทย ตลอดเวลา 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ อันจะนำมาซึ่งความสุขสวัสดีอย่างยั่งยืน และจากนี้สืบไป
ปวงชนชาวไทยจะยังคงยึดมั่นในความจงรักภักดี และความเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความผูกพันกับคนไทย และชาติไทยมากว่า 700 ปี แล้ว ทั้งนี้ ด้วยพระบารมีแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่จะทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นหลักชัยและเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ ในการร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ แห่งราชวงศ์จักรี ในการทำนุบำรุงปกปักรักษาประเทศไทยไว้เพื่อลูกหลานไทยตราบนานเท่านาน
รัฐบาลขอให้คำมั่นแก่พี่น้องประชาชนคนไทย ว่าเราจะร่วมกัน ทั้งจิตอาสาเฉพาะกิจ ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งพลังประชารัฐ และทุกภาคส่วนในสังคมไทย ในการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 26 ตุลาคม ที่ใกล้จะมาถึงนี้ ให้เรียบร้อยสมบูรณ์ที่สุด เพื่อถวายเกียรติยศอันสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย
ทั้งนี้ ผมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ร่วมกันทำความดี ร่วมกันสวดภาวนาตามศาสนาที่ทุกท่านนับถือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรของพระองค์ โดยมิเคยเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย
วันนี้พระราชภารกิจได้ปลดเปลื้องลงแล้ว ทว่า ผลแห่งพระวิริยะอุตสาหะ ที่ทรงอุทิศพระองค์ รวมทั้งมรดกพระราชทาน อันได้แก่ ศาสตร์พระราชาทั้งหลาย ตลอดรัชสมัยจะยังคงเป็นพระบารมีปกเกล้าปวงประชา ให้อยู่เย็นเป็นสุข และปกป้องแผ่นดินไทยให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง
ทั้งนี้ วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี นับจากนี้สืบไป จะไม่เป็นเพียงแค่วันที่ปวงชนชาวไทยจะได้สำนึก และรำลึกถึงพระองค์ท่าน พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันที่พวกเราทุกคนจะได้รู้รักสามัคคี โดยหลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว ให้สมกับที่พระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดินได้ทรงวางรากฐานไว้ โดยพวกเราจะต้องร่วมกันสืบสานสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้คงอยู่ตลอดไทย และพระองค์จะทรงประทับอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งชาติชั่วกาลนาน
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนร่วมกันทำดีเพื่อพ่อ และสานต่อพระราชปณิธาน เพื่อพระองค์ท่านหายเหนื่อย และมีความสุข สวัสดีครับ
ชมรายการย้อนหลังผ่านยูทูป ช่องวีดีโอ chorsaard