Last updated: 25 พ.ค. 2568 | 3372 จำนวนผู้เข้าชม |
ทำเป็นขบวนการ หลักฐานยังอ่อน ! "นักวิชาการ" ชี้คดีฮั้วเลือก สว.หวังผลแค่ดิสเครดิต "ภท."หวั่น "ดีเอสไอ" ถูกการเมืองแทรกแซง
วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นเรื่องปัญหาที่มาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ว่า พรรคภูมิใจไทย ถูกกล่าวหาเกี่ยวกับคดี ที่มา สว. อย่างไรก็ตาม สังคม เริ่มมีข้อสงสัยว่ากลุ่มที่ยื่นฟ้องอาจมีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองอื่น มีเป้าหมายระยะสั้น คือ ดิสเครดิตพรรคภูมิใจไทย ส่วนการยุบพรรคยังเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนมาก แต่มาถึงจุดนี้ ก็นับว่า ทำได้ตามเป้า อย่างไรก็ตาม ผู้ฟ้อง ก็ต้องตอบสังคมให้ได้ในหลายประเด็น 1. ความน่าเชื่อถือของผู้ร้อง เพราะหลายคนมีภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อาจมีแรงจูงใจซ่อนเร้น ที่มากไปกว่าหลักฐานในมือ 2. ข้อกล่าวหาบิดเบือนหากพิสูจน์ไม่ได้ว่าข้อมูลเป็นความจริง คดีอาจถูกยกฟ้อง และผู้ร้องเสียเครดิต ไปจนถึงต้องสู้ทางกฎหมาย ในฐานะผู้ถูกร้องเรียนบ้าง 3. ผลกระทบทางภาพลักษณ์ คดีถูกใช้สร้างกระแสสื่อ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคภูมิใจไทย เป็นหลัก จนถูกมองว่า เป็นคดีการเมืองมากกว่าจะมุ่งเอาผิดกันจริงๆ 4. ความเสี่ยงต่อการยุบพรรค อันนี้ เป็นเป้าที่ยากจะเกิดขึ้นจริง เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีหลักฐานว่าพรรคภูมิใจไทย ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจนจึงจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ ซึ่งตอนนี้ เรายังไม่เห็นหลักฐานชัดๆ ในคดีนี้ มีแต่เพียงคำกล่าวอ้างผ่านหน้าสื่อเท่านั้น 5. บทบาทองค์กรอิสระ กกต. และองค์กรรัฐบาล ดีเอสไอ ถูกจับตาว่าการดำเนินคดีไม่สอดคล้องกัน สร้างความเคลือบแคลงต่อสังคม 6. การแทรกแซง คำสั่งศาลให้รัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจสะท้อนการเมืองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
“การฟ้องเรื่องฮั้ว สว. มีการทำกันเป็นขบวนการด้วยการสนับสนุนข้อมูลซึ่งไม่รู้ว่ามีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหนเพราะเป็นการกล่าวอ้างยังไม่เห็นพยานหลักฐาน ส่วนดีเอสไอก็พยายามประโคมข่าวแต่ไม่เคยชี้มูลความผิดหรือแจ้งดำเนินคดี แค่ต้องการให้ภาพลักษณ์พรรคภูมิใจไทยเสียหาย ทั้งนี้ ให้จับตาดู คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหยุดปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอ ชี้ให้เห็นถึงข้อสังเกตเรื่องการแทรกแซงในการดำเนินคดี ว่ามีพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง จนทำให้หน่วยงานตรวจสอบไม่เป็นกลาง”